ฟิสิกส์ บทที่ 1 (สรุป)

ฟิสิกส์ 1    

บทที่ 1 (ย่อ จากหนังสือ สสวท.)

  1.1 การอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ      

– ในสมัยโบราณ มนุษย์เชื่อว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติเกิดขึ้นจาก เทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ยังไม่มีความเป็นเหตุเป็นผล

– ยุคต่อมาเริ่มมีการสังเกตุและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ศึกษา เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ทำให้เกิดการพัฒนาความรู้ของมนุษย์

– สรุปได้ว่า การพัฒนาความรู้ของมนุษย์ เกิดจากการสังเกตุ การบันทึกข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อสรุปเป็นความรู้และมองเห็นความสัมพันธ์ในเชิงคณิตศาสตร์ระหว่างสิ่งต่างๆและความสัมพันธ์ระหว่างเรื่อง

 

1.2 ฟิสิกส์

– ฟิสิกส์ เป็นวิชาที่ศึกษาหากฏเกณฑ์ต่างๆ สำหรับอธิบายปรากฏการณ์ในธรรมชาติ  ความสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน

– นักฟิสิกส์จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์แปลความหมายลงข้อสรุปเป็นหลักการและกฏเกณฑ์ต่างๆ

– ความรู้ในวิชาฟิสิกส์ ส่วนหนึ่งได้มาจากข้อมูลจากการสังเกตุและการวัดโดยอาศัยเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ

– ความรู้อีกส่วนหนึ่งได้มาจากแบบจำลองทางความคิด ซึ่งนำมาสู่การสร้างทฤษฎีเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ

– ความรู้ทางฟิสิกส์เกี่ยวข้องกับศาสตร์ต่างๆ มากมาย รวมทั้งเป็นพื้นฐานให้เกิดเทคโนโลยี

– ความรู้ที่เป็นพื้นฐานฟิสิกส์ได้แก่ กลศาสตร์ ความร้อน แสง เสียง ไฟฟ้า แม่เหล็ก ฟิสิกส์อะตอม และ ฟิสิกส์นิวเคลียร์

 

1.3  ปริมาณกายภาพ และ หน่วย

– ปริมาณกายภาพ เป็น ปริมาณที่สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือโดยตรงหรือโดยอ้อม

– เป็นปริมาณที่มีความหมายเฉพาะเจาะจง และ มีหน่วยกำกับจึงจะมีความหมายชัดเจน เช่น  มวล  หน่วยเป็น กิโลกรัม  ความยาว  หน่วยเป็น  เมตร

– หน่วยมาตรฐานที่ใช้ในวงการวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เรียกว่า “ระบบหน่วยระหว่างชาติ (The International System of Unit : SI Unit)

– หน่วยในระบบ เอสไอ ประกอบด้วย หน่วยฐาน  และ  หน่วยอนุพันธ์

-หน่วยฐาน มี 7 ปริมาณ ซึ่งมีหน่วยของปริมาณ และสัญญลักษณ์ของหน่วย ดังนี้
 

 

ปริมาณ หน่วย สัญญลักษณ์
ความยาว เมตร m
มวล กิโลกรัม kg
เวลา วินาที s
กระแสไฟฟ้า แอมแปร์ A
อุณหภูมิ เคลวิน K
ความเข้มของการส่องสว่าง แคนเดลา cd
ปริมาณของสาร โมล mol

  –        หน่วยอนุพันธ์  เป็นหน่วยที่เกิดจากหน่วยฐานหลายหน่วย เช่นปริมาณ “แรง”  มีหน่วยเป็น newton ใช้สัญญลักษณ์ N  เกิดจากหน่วยฐาน  ( Kg. m ) / s2

คำนำหน้าหน่วย

          คำนำหน้าหน่วย เป็นคำที่เมื่อนำมาวางหน้าหน่วยแล้ว จะทำให้หน่วยใหญ่ขึ้น หรือ เล็กลง  เช่น

K  เมื่อนำมาวางหน่วย g —> จะทำให้หน่วย g    เป็น Kg   ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น 1000 เท่า ตามค่าของ K

m  เมื่อนำมาวางหน่วย g —> จะทำให้หน่วย g    เป็น mg   ซึ่งมีขนาดเล็กลง 0.001 เท่าตามค่าของ m

คำนำหน้าหน่วย ที่สำคัญและใช้บ่อย มีดังนี้

คำอุปสรรค สัญลักษณ์ ตัวคูณ
เทระ(tera) T 1012
จิกะ(giga) G 109
เมกะ(mega) M 106
กิโล(kilo) k 103
เฮกโต(hecto) h 102
เดคา(deca) da 101
เดซิ(deci) d 10-1
เซนติ(centi) c 10-2
มิลลิ(milli) m 10-3
ไมโคร(micro) μ 10-6
นาโน(nano) n 10-9
พิโค(pico) p 10-12

 

1.4 การทดลองในวิชาฟิสิกส์  

               การทดลองในวิชาฟิสิกส์ที่มีในบทเรียน เป็นการทดลองเพื่อตอบคำถาม หรือหาความจริงบางอย่าง  ซึ่งวิธีทดลองได้ออกแบบตามเครื่องมือหรืออุปกรณ์  มีการนำเสนอข้อมูลจากการทดลอง การวิเคราะห์ การแปลผล และลงข้อสรุป เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และเรียนรู้ ตามจุดประสงค์ของการทดลองนั้นๆ

1.5 ความไม่แน่แน่นอนในการวัด  

เพื่อให้ผลการวัด ได้ค่าที่เหมาะสมใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด ผู้วัดจะต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด  นอกจากนี้ประสบการณ์และความสามารถของผู้วัดก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลการวัดมีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุดด้วย

 

1.6 เลขนัยสำคัญ

ในหัวข้อนี้ นำมาจาก http://science.sut.ac.th/physics/web_complete/significant/significant.htm

ซึ่งขอขอบคุณ มา ณ ที่นี้

 1.6.1 ผลของการวัดและเลขนัยสำคัญ

ผลของการวัดที่ได้จากเครื่องมือวัดโดยตรง ผู้วัดต้องอ่านค่าจากส่วนแสดงผลที่เครื่องวัด

ในการอ่านค่าเครื่องวัดที่เป็นขีดสเกล จะต้องทราบค่าละเอียดที่สุดที่เครื่องวัดนั้นสามารถอ่านค่าได้ แล้วประมาณค่าในตำแหน่งถัดไป เพื่อให้ได้ผลการวัดใกล้กับความเป็นจริงมากที่สุด เช่น การวัดค่าความยาวของแท่งโลหะด้วยไม้บรรทัด ดังรูป

การวัด1

          จากรูปไม้บรรทัดมีสเกลเล็กที่สุดเท่ากับ 1 cm จึงสามารถอ่านค่าได้ละเอียดที่สุดเพียงหน่วยเซนติเมตรเท่านั้น จากนั้นประมาณค่าทศนิยมตำแหน่งที่ 1 นั่นคือการวัดความยาวของแท่งเหล็กได้ 2.2 cm

 

การวัด2

ไม้บรรทัดนี้มีสเกลเล็กสุดเท่ากับ 1 mm หรือ 0.1 cm ค่าละเอียดที่สุดที่สามารถอ่านได้คือทศนิยมตำแหน่งที่ 1 ของเซนติเมตร และประมาณค่าตัวเลขหลังทศนิยมตำแหน่งที่ 2 ดังนั้นวัดความยาวของแท่งโลหะได้ 2.27 cm

 

การแสดงความเที่ยงตรงของผลการวัดที่ได้จากการวัดโดยตรง หรือผลที่คำนวณมาจากผลการวัดจะใช้คำเรียกว่า “เลขนัยสำคัญ” (Significant Figure) ซึ่งประกอบด้วยตัวเลขที่แสดงความแน่นอนรวมกับตัวเลขที่แสดงความไม่แน่นอน

 

1.6.2 การนับเลขนัยสำคัญ

การนับจำนวนหรือตำแหน่งของเลขนัยสำคัญ แสดงในตาราง

หลักการ ตัวอย่าง จำนวนเลขนัยสำคัญ
1 ตัวเลขที่ไม่มีเลขศูนย์ ตัวเลขทั้งหมดนับเป็นเลขนัยสำคัญ 5.78 3 ตำแหน่ง
2 เลขศูนย์ที่อยู่หน้าตัวเลขอื่น ๆ ไม่นับเป็นเลขนัยสำคัญ 0.45

0.000357

2 ตำแหน่ง

3 ตำแหน่ง

3 เลขศูนย์ที่อยู่หลังหรือระหว่างตัวเลขอื่นที่ไม่ใช่เลขศูนย์ นับเป็นเลขนัยสำคัญ 14000.00

0.1009

7 ตำแหน่ง

4 ตำแหน่ง

4 สัญกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ให้นับเฉพาะส่วนที่เป็นตัวเลข ไม่นับเลขยกกำลังฐาน 10 5.83 x 10-6 3 ตำแหน่ง
5 จำนวนที่มีค่าน้อยมาก ๆ หรือค่าใหญ่มาก ๆ นิยมเขียนในรูปสัญกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ก่อน แล้วนับเลขนัยสำคัญ 298000

2.98 x 105

3 ตำแหน่ง

1.6.3 เลขนัยสำคัญที่ได้จากผลการวัดโดยตรง

เลขนัยสำคัญที่ได้จากผลของการวัดอาจเป็นเลขจำนวนเต็มหรือเป็นเลขทศนิยม ขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่องมือที่ใช้วัด โดยจะประกอบด้วยตัวเลขที่ได้จากการอ่านค่าจากเครื่องมือ บวกกับตัวเลขที่ได้จากการประมาณค่า

เลขนัยสำคัญ  =  เลขจากการอ่านค่า  +  เลขจากการประมาณค่า    เช่น

การวัด3

อ่านค่าได้เท่ากับ  2  +  0.2  =  2.2  cm

เลขนัยสำคัญ  2  ตำแหน่ง

 

การวัด4

อ่านค่าได้เท่ากับ  32  +  0.2  =  32.2  °C

เลขนัยสำคัญ  3  ตำแหน่ง

 

การวัด5

อ่านค่าได้เท่ากับ  2.2  +  0.07  =  2.27  cm

เลขนัยสำคัญ  3  ตำแหน่ง

 

1.7   การระบุจำนวนเลขนัยสำคัญของผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณ

มีวิธีการดังนี้

1) ผลลัพธ์จากการบวกและลบ ต้องมีจำนวนเลขทศนิยมเท่ากับข้อมูลที่มีเลขทศนิยมน้อยที่สุด

2) ผลลัพธ์จากการคูณและหาร ต้องมีจำนวนเลขนัยสำคัญเท่ากับข้อมูลที่เลขนัยสำคัญน้อยที่สุด

3) ข้อมูลที่มาจากการนับหรือการเทียบหน่วยในระบบเดียวกัน ไม่นำมาพิจารณาจำนวนเลขนัยสำคัญ

 

1.8  การปัดเศษ เลขนัยสำคัญที่ได้จากการคำนวณ

ในการคำนวณ ผลที่ได้จากการคำนวณมักมีตัวเลขทศนิยมหลายตำแหน่ง ทำให้มีจำนวนเลขนัยสำคัญมากกว่าที่ควรเป็น จึงต้องตัดตัวเลขทศนิยมตำแหน่งที่เกินออกไป

โดยใช้การปัดเศษ (rounding off)

ซึ่งเริ่มจากการหาตัวเลขตำแหน่งสุดท้ายของเลขนัยสำคัญที่ต้องการ แล้วปัดเศษตัวเลขทศนิยมตำแหน่งถัดไปทางขวา จากหลักการต่อไปนี้

1) ถ้าตัวเลขที่ต้องการปัดเศษต่ำกว่า 5 ให้ปัดลง โดยตัวตัวเลขนั้นออกไป ส่วนเลขสุดท้ายของตำแหน่งที่ต้องการยังคงเป็นตัวเลขเดิม

2) ถ้าตัวเลขที่ต้องการปัดเศษมากกว่ากว่า 5 ให้ปัดขึ้น โดยตัดตัวเลขนั้นออกไป แล้วเพิ่มค่าของตัวเลขตัวสุดท้ายของตำแหน่งที่ต้องการอีก 1

3) ถ้าตัวเลขที่ต้องการปัดเศษมีค่าเท่ากับ 5 ให้พิจารณาตัวเลขตัวสุดท้ายของตำแหน่งที่ต้องการ ถ้าเป็นเลขคี่ให้ปัดขึ้น แต่ถ้าเป็นเลขคู่ให้ปัดลง เช่น

 

– จงทำให้จำนวน 86.583219 มีเลขนัยสำคัญ 4 ตำแหน่ง

ตัวเลขตัวสุดท้ายของเลขนัยสำคัญตำแหน่งที่ 4 คือ 8 ดังนั้นตัวเลขที่ต้องการปัดเศษคือ 3 ซึ่งมีค่าน้อยกว่า 5 จึงปัดลง โดยการตัดตัวเลขหลัง 8 ทิ้งไป จะได้จำนวนเลขนัยสำคัญ 4 ตำแหน่ง เป็น 86.58

 

– จงทำให้จำนวน 75.9876 มีเลขนัยสำคัญ 4 ตำแหน่ง

ตัวเลขตัวสุดท้ายของเลขนัยสำคัญตำแหน่งที่ 4 คือ 8 ดังนั้นตัวเลขที่ต้องการปัดเศษคือ 7 ซึ่งมีค่ามากกว่า 5 จึงปัดขึ้น โดยตัดตัวเลขหลัง 8 ออก แล้วเพิ่มค่าของ 8อีก 1 จะได้จำนวนที่มีเลขนัยสำคัญ 4 ตำแหน่ง เป็น 75.99

 

– จงทำให้จำนวน 2.635 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตำแหน่ง

ตัวเลขตัวสุดท้ายของเลขนัยสำคัญตำแหน่งที่ 3 คือ 3 ดั้งนั้นตัวเลขที่ต้องการปัดเศษคือ 5 จึงพิจารณาตัวเลขตัวสุดท้ายของตำแหน่งที่ต้องการคือ  3 ซึ่งเป็นเลขคี่ จึงปัดขึ้น โดยตัดตัวเลขหลัง 3 ออกแล้วเพิ่มจำนวน 3 อีกหนึ่ง จะได้จำนวนที่มีเลขนัยสำคัญ 3 ตำแหน่ง เป็น 2.64

 

– จงทำให้จำนวน 27.4865 มีเลขนัยสำคัญ 5 ตำแหน่ง

ตัวเลขตัวสุดท้ายของเลขนัยสำคัญตำแหน่งที่ 5 คือ 6 ดั้งนั้นตัวเลขที่ต้องการปัดเศษคือ 5 จึงพิจารณาตัวเลขตัวสุดท้ายของตำแหน่งที่ต้องการคือ  6 ซึ่งเป็นเลขคู่ จึงปัดลง โดยตัดเลข 5 ทิ้ง จะได้จำนวนที่มีเลขนัยสำคัญ 5 ตำแหน่ง เป็น 27.486

 

– หาคำตอบของ 

              53.27 m + 16.8 m

               จำนวนที่มีเลขทศนิยมน้อยที่สุด คือ 16.8 มีเลขทศนิยม 1 ตำแหน่ง คำนวณข้อมูลแล้วปัดเศษผลลัพธ์ให้มีเลขทศนิยม 1 ตำแหน่ง

53.27 m + 16.8 m = 70.07 m

ตอบ          =  70.1 m

 

– หาคำตอบของ

0.9387 mm  x  1.542 mm  x  1.32  mm

จำนวนที่มีเลขนัยสำคัญน้อยที่สุด คือ 1.32 ซึ่งมีเลขนัยสำคัญ 3 ตำแหน่ง คำนวณข้อมูลแล้วปัดเศษผลลัพธ์ให้มีเลขนัยสำคัญ 3 ตำแหน่ง

0.9387 mm  x  1.542 mm  x  1.32  mm  =  2.7656  mm3

ตอบ            =  2.76  mm3

 

– หาคำตอบของ

การวัด7

จำนวน 1 m และ 100 cm เป็นข้อมูลที่ได้จากการเทียบหน่วยในระบบเดียวกัน จึงไม่นำมาพิจารณาเลขนัยสำคัญ ดังนั้นพิจารณาเฉพาะ 50 cm ซึ่งมีเลขนัยสำคัญ 2 ตำแหน่ง

 

 

– หาคำตอบของ

การวัด8

คำนวณข้อมูลที่เป็นการลบก่อนแล้วจึงนำไปหาร โดยอาศัยหลักเลขนัยสำคัญในแต่ละขั้นตอนด้วย ดังนั้นผลที่ได้จาการลบต้องมีทศนิยม 1 ตำแหน่ง

การวัด7

เมื่อหารแล้วผลลัพธ์ที่ได้ต้องมีเลขนัยสำคัญ 2 ตำแหน่ง

ตอบ        =  1.0  g/cm3