ไฟฟ้ากระแส
การศึกษาไฟฟ้ากระแส เป็นการศึกษา ผลจากการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าในลวดตัวนำ ซึ่งเป็นผลให้
1. มีกระแสไฟฟ้าไหลในลวดตัวนำนั้น
2. มีพลังงานที่เกิดจากการเปลี่ยนรูปของพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปอื่นซึ่งในการศึกษาจะสนใจเฉพาะการเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานความร้อน
ดังนั้น สิ่งที่จะต้องสนใจเป็นอันดับแรก คือ การหาปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ไหลในตัวนำนั้น
-
ปริมาณกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ
ปริมาณของกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ ( I ) วัดได้จากการไหลของประจุไฟฟ้าที่ผ่านพื้นที่ภาคตัดขวางของลวดตัวนำในหนึ่งหน่วยเวลา
ซึ่งการหากระแสจากการคิดการเคลื่อนที่ขอประจุนี้ จะมีสูตรที่ต้องจำ 2 สูตร คือ
ซึ่งสูตร คิดโดยการมองละเอียดไปถึงอิเลคตรอนอิสระ อันเป็นอนุภาคทึ่มีประจุซึ่งเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วลอยเลื่อน ( v ) ในลวดตัวนำซึ่งมีพื้นที่ภาคตัดขวาง ( A ) นั้น
ส่วน สูตร I = Q / t นั้น ถ้านำ I และ t มาแสดงความสัมพันธ์ในรูปของกราฟ พื้นที่ใต้กราฟ จะให้ความหมาย โดยหมายถึง จำนวนประจุที่ไหลในวงจรไฟฟ้า ดังนี้
2. สมบัติของความต้านทานการไหลของกระแสของลวดตัวนำ
ในสภาวะปกติ ไม่มีลวดตัวนำใดที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านสะดวก โดยไม่มีความต้านทาน
ซึ่งจากศึกษา พบว่า ค่าความต้านทานไฟฟ้าของลวดตัวนำจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ความยาวของลวดตัวนำ และ พื้นที่ภาคตัดขวางของลวดตัวนำ ดังนี้
ซึ่งนำมาเขียนเป็นสมการได้ว่า
ค่า ρ เรียกว่า สภาพต้านทานไฟฟ้า ซึ่งเป็นค่าคงที่สำหรับโลหะที่นำมาทำเป็นลวดตัวนำ
-
การนำลวดตัวนำเส้นหนึ่งมาหลอมแล้วทำเป็นลวดตัวนำเส้นใหม่ที่มีขนาดเปลี่ยนไปโดยที่ยังมีความหนาแน่นของโลหะคงเดิม
การหลอมลวด ให้มีขนาดเล็กลงแล้วความยาวมากกว่าเดิม หรือ ขนาดใหญ่ขึ้น แต่ความยาวสั้นลง รูปสมการจะเป็น
-
การหาความต้านทานรวม
การต่อความต้านทานที่จะศึกษา แบ่งเป็นแบบต่าง ๆ คือ
– แบบอนุกรม
– แบบขนาน
– แบบผสมระหว่างแบบอนุกรมและแบบขนาน และ
– แบบบริดจ์ที่สมดุล
สิ่งที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ
-
ความต่างศักย์ ที่ตกบนความต้านทานแต่ละตัว
-
กระแสที่ไหลผ่านความต้านทานแต่ละตัว
-
ความต่างศักย์ ที่ตกบนความต้านทานรวม
-
กระแสที่ไหลผ่านความต้านทานรวม
4.1 การต่อความต้านทานแบบอนุกรม
โดย ความต้านทานรวมแบบอนุกรม หาจาก
สิ่งที่ได้จากการต่อความต้านทานรวมแบบอนุกรม
1. Vรวม = V1 + V2 + V3 + ……
2. I ที่ผ่าน R ทุกตัว มีค่าเท่ากัน
4.2 การต่อความต้านทานแบบขนาน
ความต้านทานรวมแบบขนาน หาจาก
ส่วน การหา ความต้านทานรวมของการต่อของ R สองตัว ทั้งค่าความต้านทานเท่ากัน และ ไม่เท่ากัน เป็นกรณีที่ควรให้ความสนใจ
คือ กรณี R ไม่เท่ากัน
กรณี R เท่ากัน
สิ่งที่ได้จากการต่อความต้านทานรวมแบบขนาน
Vรวม = V1 = V2 = V3
Iรวม = I1 + I2 + I3
4.3 การต่อความต้านทานแบบบริดจ์ที่สมดุล
การต่อชุดความต้านทาน ที่ประกอบด้วยความต้านทาน 5 ตัว ดังรูป เรียกว่า “การต่อแบบวงจรบริดจฺ์ ซึ่งมีข้อกำหนดที่ต้องให้ความสำคัญ คือ หาอัตราส่วนของค่าต้านทานไฟฟ้า ของตัวต้านทานเป็นดังสมการ
จะทำให้ไม่มีกระแสไหลผ่านความต้านทานตัวกลาง R5
ซึ่งกล่าวได้ว่า “ความต่างศักย์ไฟฟ้า”ที่ตกคร่อมบนความต้านทานตัวกลางมีค่าเท่ากับ “ศูนย์
ตามรููป
-
ความต่างศักย์ระหว่างขั้วเซลไฟฟ้า และ แรงเคลื่อนไฟฟ้าของเซลไฟฟ้า
ถึงแม้ความต่างศักย์ระหว่างขั้วเซลไฟฟ้าและแรงเคลื่อนไฟฟ้าของเซลไฟฟ้า
จะมีหน่วยเป็น Volt เหมือนกัน แต่ความหมายจะต่างกัน ดังนี้
– ความต่างศักย์ระหว่างขั้วเซลในขณะที่ยังไม่ต่อเป็นวงจร เป็นค่าเดียวกับแรงเคลื่อนไฟฟ้า
V = E
แต่ถ้าต่อเป็นวงจรเรียบร้อยแล้ว ความต่างศักย์ระหว่างขั้วเซล จะเป็นค่าความต่างศักย์ที่ตกคร่อม (Drop) บนค่าความต้านทานภายนอกเซลทั้งหมด
V = IRภายนอก
ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าภายในเซล ซึ่งตกคร่อมบน r ภายในของเซล จะไม่สามารถวัดได้โดยเเครื่องมือ จะต้องคำนวณเอาจาก
V – IR หรือ Ir
-
การคำนวณปริมาณกระแสไฟฟ้ากระแส ( I )โดยสนใจการใหลของกระแสในวงจร
สื่งที่นักเรียนจะต้องหาก่อน แม้ว่าโจทย์จะไม่ถาม ก็คือ ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจร เพราะ ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจร(I) จะเป็นค่าที่ถูกนำไปหาค่าอื่น ๆ ที่โจทย์ต้องการ
6.1 กรณีที่ สนใจเพียงบางส่วนของวงจร โดยส่วนที่สนใจนั้นไม่มี Battery การหากระแสให้ใช้ กฏของโอห์ม คือ
แต่ถ้าส่วนขอแงวงจรที่สนใจนั้น นอกจากจะมี ความต้านทาน แล้ว ยังมี battery อยู่ด้วย ให้ใช้สูตร
ซึ่งสูตรหลังนี่สามารถแทนใช้ แทน กฏของโอห์ม ได้
6.2 กรณีที่โจทย์ ให้วงจรมาครบวง(มี Battery) มาด้วย ให้ใช้สูตร
-
การคำนวณ พลังงานไฟฟ้า และ กำลังไฟฟ้า
ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังงานไฟฟ้าสิ่งที่โจทย์ มักถาม ก็คือ การเปลี่ยนรูปของพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานรูปอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นพลังงานความร้อน
การคำนวณห้ใช้หลักการ
W = Pt —— กลายเป็น ——–> Heat
โดย Heat อาจเป็น หรือ แล้วแต่กรณี
โดยกำลังไฟฟ้า ( P ) นั้น มีรูปสมการที่ต้องจำ คือ
นอกจากนี้ ยังต้องสามารถ หาค่า กำลังไฟฟ้า เมื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าถูกนำไปใช้กับความต่างศักย์ที่ลดลงไปจากที่กำหนด ด้วย โดยใช้สมการ
-
เครื่องวัดทางไฟฟ้า
เครื่องวัดทางไฟฟ้า ที่ศึกษาและคิดคำนวณ ในช้นนี้ คือ
– แอมมิเตอร์ และ
– โวลต์มิเตอร์
โดยลักษณะเฉพาะของ “ กัลวานอมิเตอร์ “ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่นำมาดัดแปลงเป็น แอมมิเตอร์ และเป็น โวลต์มิเตอร์ ว่าเป็น ขดลวดวางในสนามแม่เหล็กที่มีเข็มชี้สเกลติดอยู่ และ หมุนได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าไป มีค่าความต้านทานต่ำ และทนต่อกระแสได้น้อย
การคำนวณ เกี่ยวกับ แอมมิเตอร์
ใช้สมการ
Ig . Rg = ( I – Ig ) . S
แอมมิเตอร์ ที่ดีจะต้องมีค่าความต้านทานน้อย และในการนำไปวัดกระแสไฟฟ้าที่ผ่านตามสายใดต้องต่อแทรกหรือต่ออนุกรมเข้าไปในสายนั้น
การคำนวณ เกี่ยวกับ โวลต์มิเตอร์
ใช้สมการ
V = Ig ( Rg + RX )
โวลต์มิเตอร์ ที่ดีจะต้องมีค่าความต้านทานสูงๆ ในการนำไปวัดความต่างศักย๋ระหว่างสองจุดใด ๆ จะต้องต่อขนานกับสองจุดที่ต้องการวัดความต่างศักย์นั้น
(คลิป วิคราะห์และแก้ปัญหาโจทย์ อยู่ระหว่างดำเนินการ)
(คลิป วิคราะห์และแก้ปัญหาโจทย์ อยู่ระหว่างดำเนินการ)
(คลิป วิคราะห์และแก้ปัญหาโจทย์ อยู่ระหว่างดำเนินการ)